ถ้ามีคนมาถามว่า”คุณเคยตกหลุมรักใครสักคนทุกๆวันไหม” โอคเป็นคนนึงที่ตอบได้ดีและเข้าใจมากๆค่ะ คู่แท้ ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสุดท้ายถ้าเราจะคู่กันยังไงโชคชะตาจะนำพาให้เราได้คู่กันค่ะ สำหรับใครที่หลงอ่านเข้ามาในบทความนี้เราคือเพื่อนกันที่พร้อมจะเปิดใจและอ่านเรื่องราวความรักของโอคซังสะใภ้แดนอาทิตย์อุทัยคนนี้ เรื่องราวที่จะเขียนเล่าต่อไปนี้เหมือนบันทึกหน้าหนึ่งของชีวิตโอคซังที่อยากเก็บไว้จนตราบนานเท่านานอยากให้กำลังใจกับอีกหลายคนที่กำลังตามหารักแท้ของตัวเอง มาร่วมเดินทางย้อนเวลาเรื่องราวของโอคไปพร้อมๆกันนะคะ
มนต์สะกดทันใด
ย้อนกลับไปในปี2012 ในตอนนั้นโอคซังยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชั้นปีที่2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่บุคลิกเซอร์ๆ ผมไม่ค่อยหวี หน้าไม่ค่อยแต่ง สะพายกระเป๋าผ้า เป็นคนไม่เคยห่วงคำว่าสวยแต่มั่นใจในตัวเองแบบสุดขีด โอคมีแฟนคนไทยที่คบกันมานานตั้งแต่สมัยมัธยมปลายโดยเป็นความสัมพันธ์แบบวัยรุ่นที่โอคเองยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำว่ารักแท้หน้าตามันเป็นยังไง
จนวันหนึ่งที่มาถึง..คนๆแรกที่ทำให้โลกของโอคมันหยุดหมุนไปชั่วขณะก็ปรากกฏตัวขึ้นตรงหน้า วันนั้นเป็นวันที่โอคได้เดินทางกับเพื่อนในคณะมาที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อมาเรียนระยะสั้นๆในเดือนมีนาคมเป็นเวลา2สัปดาห์ สภาพการแต่งตัวคิดว่าดูดีที่สุดในชีวิตเท่าที่ทำได้ เสื้อคลุมยืมพ่อ กางเกงขายาวและรองเท้ายืมพี่ ลักษณะออกมาคล้ายนักกีฬาโอลิมปิค โอคไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆเหมือนใครๆในกลุ่มที่สวยๆหล่อๆกันทุกคน (เอารูปถ่ายตอนนั้นมาดูก็แอบขำเหมือนกันนะคะว่าเราแต่งตัวแบบนั้นจริงๆหรือ) เราทั้งหมดนั่งรถจากสนามบินคันไซมุ่งสู่หอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเกียวโต เมื่อถึงที่หมายแล้ว ทันใดที่ออกมาจากรถก็รับรู้ถึงอากาศหนาวที่ไม่คุ้นเคย นักศึกษาไทยต่างพากันทั้งหยิบทั้งลากกระเป๋าตัวเองออกจากหลังรถ กระเป๋าเดินทางสีส้มใบใหญ่หนักเป็นบ้าของโอคก็ยกแบบทุละทุเลกึ่งลากกึ่งจะล้มมุ่งตรงสู่ประตูหอพัก หนักไม่ไหว ก็วางลง แต่แล้ว….ก็มีมือขาวๆของผู้ชายคนหนึ่งมาจับกระเป๋าของโอคเพื่อจะยกให้ค่ะ
โอคกำลังก้มหน้าก้มตาไม่สนใจอะไรแต่พอเงยหน้าขึ้นมา ทุกคนเชื่อไหม…ว่าโลกได้หยุดหมุนจริงๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องกลับมา ดวงตาได้ประสานตา ไม่มีคำพูดใดๆแต่มันรู้สึกอิ่มเอมจากข้างใน อยากร้องไห้ก็ไม่ใช่ อยากดีใจหรอก็ไม่รู้ แต่เหมือนมีคำพูดเป็นล้านๆคำที่อยากพูดออกไป ไม่รับรู้ไม่ได้ยินอะไรรอบตัวทั้งนั้น เราทั้งคู่นิ่งกันอยู่แบบนั้น(เหมือนในหนังไทยที่หลายๆคนดูในทีวีนั้นแหล่ะค่ะ) เสี้ยววินาทีที่เหมือนยาวนานมาก
“อะไร!! ไม่เห็นหิ้วให้เราบ้างเลย!!” เสียงของเพื่อนข้างๆดังขึ้น ทำให้เราสะดุ้งทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์…โอคได้มองหน้าผู้ชายคนนี้แบบเต็มๆ คนญี่ปุ่นผมดำ จมูกโด่ง ตาโต คิ้วเข้ม หันหน้าหนีและกำลังช่วยหยิบกระเป๋าของโอคและเพื่อนอีกคน เดินนำหน้าพวกเราไป โอคซังมองตามจากด้านหลังหัวใจก็เต้นแรงแบบไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน..แต่…ใช่ค่ะ อย่างที่โอคบอกไปตอนต้นว่าเรามีแฟนคนไทยคบกันมาตั้งแต่มัธยมอยู่แล้วดังนั้นเราจะต้องเข้มแข็งเป็นคนไม่โลเล แต่เชื่อไหมมันลืมไม่ได้หรอกความรู้สึกนั้นหน่ะ
วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆมา โอคก็พยายามมองหาพี่ญี่ปุ่นคิ้วเข้มคนนั้นอยู่เสมอๆ แล้วเพื่อนสนิทของโอคก็บอกว่าชอบผู้ชายญี่ปุ่นคนนี้มากและประกาศพร้อมจีบเต็มที่ เราเองทำได้แค่แซวและพยายามเชียร์เพื่อนแบบสุดๆ หลังเลิกเรียนโอคและเพื่อนจะแยกตัวออกจากจากกลุ่มใหญ่เสมอแต่ก็จะมีพี่ญี่ปุ่นคิ้วคมคนนี้ตามติดพวกเราเสมอๆเช่นกันซึ่งเราทั้งหมดก็ไม่เข้าใจค่ะเพราะพวกเราเป็นพวกชอบปลีกวิเวกไปกันเองคนน้อยๆ ทำให้เพื่อนเรายิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก แต่ทุกครั้งที่เราเผลอมองหน้ากันหรืออยู่ใกล้กัน แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวเสมอค่ะ แต่ศีลธรรมต้องนำค่ะ โอคไม่สามารถสานสัมพันธ์ได้
สองสัปดาห์แห่งการเรียนนอกสถานที่ในแดนอาทิตย์อุทัยครั้งนี้ไม่มีตอนไหนที่ไม่มีความสุขเลย นอกจากจะได้เรียนอะไรมากมาย โอคยังได้แอบมอง แอบยิ้มอยู่ไกลๆ ให้กับคนที่ทำใจเต้นได้มากมายขนาดนี้อีกด้วย แต่ก็เก็บความลับและความสงสัยเรื่องความรู้สึกที่เรามีไว้ให้กันมาตลอดค่ะไม่มีใครกล้าพูดหรือถามค่ะว่ามันคืออะไรเพราะอธิบายไม่ถูกจริงๆ ทำให้แค่รักษามิตรภาพเอาไว้ก็พอ
กลับไทยก็ได้รู้ความจริง!!
เมื่อกลับมาถึงไทยเวลาก็ผ่านไป..พวกเราเรียนกันแบบปกติ เฟสบุคที่แอดกันไว้ก็ไม่ค่อยได้คุยเพราะโอคไม่อยากมีปัญหากับแฟน ความรู้สึกของเรามันเกินกว่าคำว่ารุ่นพี่ญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยกล้าคุยค่ะกลัวหยุดตัวเองไม่ได้ นอกจากถามว่าสบายดีไหม
จนวันหนึ่งที่เพื่อนสนิทของโอคได้เดินมาบอกว่า “เขาบอกกุว่าเขาชอบเมิงมาก” ตอนนั้นโอคดีใจจนเผลอพูดออกไป “ทำไมเมิงมาบอกอะไรกุตอนนี้” เพื่อนก็ดึงสติค่ะ “แล้วไง..กุบอกเขาไปแล้วว่าเมิงมีแฟนแล้ว”
ใช่ค่ะ…และนี้คือเส้นแบ่งระหว่างเราที่ทำให้ไม่สามารถทักทายกันได้มากไปกว่าข้อความ “สบายดีไหม”ให้กันค่ะ
ตอนช่วงปี3-4 พี่ญี่ปุ่นคนนี้ก็มาที่คณะ เพื่อนบอก “เมิงพี่เขามานะ..แต่กุบอกเขาไปแล้วว่าเมิงไปกับแฟน” เพื่อนก็แสนดีตอบแทนแบบไม่ต้องถามค่ะ เพราะเพื่อนไม่อยากให้เราโลเลหรือดูไม่ดี เราเองอยากไปเจอแต่กลั้นใจไว้ ท่องไว้เสมอว่าเรียนหนัก เรียนหนัก เรียนหนัก ไม่ว่าง ไม่ว่าง ไม่ว่าง แต่รู้ไหมอยากเจอขนาดไหน ทุกครั้งที่โอคเข้าไปปรึกษาอาจารย์เรื่องเรียนจะคิดเสมอว่าพี่เขานั่งอยู่แค่ชั้นบนหัวเรานี่เองจะไม่ไปทักทายเขาสักหน่อยหรอ…แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปค่ะ
วันที่เส้นของความรักได้บรรจบกัน
วันที่โอคเรียนจบและทำงานมาถึง โอคเติบโตขึ้นอีกขั้น ได้เข้าทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง โอคอยากสร้างอนาคตและครอบครัวแต่ด้วยแฟนของโอคในตอนนั้นเริ่มมีความคิดที่ไม่ตรงกัน ความสัมพันธ์กับแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมที่ดูมีปัญหาคาราคาซังกันมานานจึงจบลง โอคเริ่มใส่ใจความรู้สึกตัวเองมากขึ้นอย่ามัวแต่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นจนลืมตัวเอง!! โอคปาร์ตี้กับเพื่อนที่ทำงานที่อายุมากกว่าเราหลังเลิกงานมากขึ้นทำให้เรามีมุมมองชีวิตที่โตขึ้นมาก จนวันหนึ่งโอคได้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนมหาวิทยาลัยตามประสาอยากชวนเที่ยวแต่เพื่อนก็บอกกับโอคว่า “ตอนนี้พี่ญี่ปุ่นคนนั้น อยู่ที่ไทยนะ!!”
อ่านมาถึงตรงนี้คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ ! ใช่ค่ะ โอคซังรีบทักไปหาพี่ญี่ปุ่นคนนี้ทันที!! ถามไปสั้นๆว่า
“ทำไมมาไทยตั้งหลายครั้งไม่เคยมาเจอกันเลยแต่เจอเพื่อนในกลุ่มเราทั้งหมดยกเว้นเรา ทำไม! วันนี้มากินข้าวด้วยกันหน่อยไหม”
แต่ข้อความที่โอคได้รับกลับมา มันพลิกหัวใจให้พองใหญ่เท่าจักรวาล เพราะเป็นข้อความยาวๆภาษาอังกฤษที่บรรยายทุกความรู้สึกที่มี(แปลไทยไว้ให้นะคะ)
“ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิกำลังจะกลับญี่ปุ่น ผมดีใจมากๆนะที่คุณติดต่อผมมาแล้ว ที่ผมไม่เคยทักหาคุณเลยเพราะผมรู้ว่าคุณมีแฟนแล้ว และผมกลัวจะหยุดความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณไม่ได้ ผมหลงรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้ว ผมขอโทษที่ผมบอกคุณตอนนี้ แต่เครื่องกำลังจะออกแล้วผมต้องตัดอินเตอร์เน็ต ผมจะติดต่อคุณอีกครั้งหลังจากผมถึงญี่ปุ่นแล้วนะ ผมขอโทษจริงๆ”
ความรู้สึกของเราตรงกันมาเสมอค่ะ!! แค่เราทั้งคู่ไม่เคยมีใครพูดออกไปเท่านั้นเอง!!
คืนนั้นทั้งคืนโอคนอนไม่หลับค่ะ อ่านข้อความนั้นข้อความเดียววนไปเรื่อยๆ
พระอาทิตย์ขึ้นข้อความจากโอคก็ได้ถูกส่งกลับไปหา “ฉันไม่มีแฟนแล้วนะ เรามาลองเดทกันดูไหมหล่ะ”
และนี้คือเส้นบรรจบและจุดเริ่มต้นของความรักของเราสองคนอย่างเป็นทางการค่ะ
เชื่อแล้วว่าพรหมลิขิตมีอยู่จริง
เดทครั้งแรกของเราพี่ญี่ปุ่นคิ้วเข้มก็ได้คุยอย่างเปิดใจกับโอคว่าความรู้สึกตอนนี้กับตอนนั้นไม่ต่างกันเลย ยังจำนาทีที่เรามองตากันครั้งแรกได้ดี คุณรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม ผมลืมมันไม่ได้ นั่นคือครั้งแรกที่ผมเห็นคุณและผมก็รักคุณ ตอนนั้นผมพยายามอยู่ใกล้คุณตามคุณไปทุกที่อยากให้คุณเห็นผม ผมสืบเรื่องราวของคุณจากหลายๆคนและถามถึงคุณจากเพื่อนคุณเสมอๆ หลังจากที่ฟังโอคเชื่อแล้วค่ะว่าแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริงไม่ใช่โอคที่คิดไปอยู่คนเดียว ในตอนที่โอคอยู่ญี่ปุ่น2สัปดาห์ในตอนนั้นทุกครั้งที่เราเผลอมองตาหรือเผลอมายืนใกล้ๆกันมันคือความตั้งใจของเราทั้งคู่แบบไม่รู้ตัว โอคน้ำตาไหลรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่วันนี้ได้พาคนๆนี้มาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว และเราจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนอีกแล้ว
ตั้งแต่วันแรกที่ได้มองตากัน จนแต่งงานวางแผนจะมีลูกด้วยกัน หรือจนวันนี้ที่โอคกำลังนั่งพิมพ์เรื่องราวของตัวเองอยู่นี้ยังไม่มีวันไหนที่โอคจะรู้สึกหมดรักผู้ชายญี่ปุ่นสามีของโอคคนนี้ได้เลยค่ะ ถ้ามีคนมาถามว่า”คุณเคยตกหลุมรักใครสักคนทุกๆวันไหม” โอคเป็นหนึ่งคนที่ตอบได้ดีและเข้าใจมากๆค่ะ ทุกๆวันที่ตื่นนอนเราจะกอดกัน บอกรักกัน ขอบคุณเวลานี้ที่เราอยู่ด้วยกันแบบไม่มีเบื่อ นี่คือเรื่องจริง
หลายครั้งที่เขาทำงานเหนื่อยจะมีโอคซังเป็นแรงใจ หลายครั้งที่โอคท้อแท้จะมีเขาอยู่ข้างๆเสมอ เราคือเพื่อนคู่คิดเจ้าของหัวใจ เราทั้งคู่ต่างโตขึ้นไปด้วยกันพร้อมยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง เราพยายามปรับตัวเองให้เป็นจิ๊กซอร์ที่พอดีของกันและกันโดยไม่มีคำว่าเหนื่อย
ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบนะคะ ให้กำลังใจทุกคนที่กำลังตามหารักของตัวเองอยู่นะคะ
แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ มาตะเน้
COMMENTS
เขียนเรื่องราวได้สนุกและน่าติดตามต่อไปเรื่อยๆมากเลยค่ะ รู้สึกเขินตามและประทับใจตามไปด้วยเลย รอคลิปใหม่ๆจากคุณจาอยู่นะคะ :’)
โชคดีจังเลยที่มีใจตรงกันค่ะ อ่านไปน้ำตาไหลตามเลย นึกถึงตัวเองจะโชคดี ได้เจอรักแท้แบบแอดบ้างมั้ย เพราะกำลังแอบชอบคนญี่ปุ่นอยู่ค่ะ แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้เค้าเข้าใจความรู้สึกเราได้ค่ะ อยากโชคดีเหมือนแอดบ้างค่ะ